พระหยกเข้ามามีบทบาทต่อมนุษย์อย่างไรบ้าง

หยกหรือที่ตามตำนานจีนเรียกกันว่า หินแห่งสรวงสวรรค์ เข้ามามีบทบาทผูกพันกับวิถีชีวิตของมนุษย์มานานกว่า 4,000 ปี มีต้นกำเนิดจากประเทศจีนก่อนที่จะกระจายไปทั่วทุกมุมโลกทั้งแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา และอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก ความศรัทธาและความเชื่อในอำนาจลี้ลับของพระหยก เป็นสิ่งที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ ไม่เพียงแต่ชาวจีนเท่านั้นที่รู้ ซึ่งถึงคุณค่าอันนอกเหนือจากความงามอันเป็นเอกลักษณ์ แม้กระทั่งชาวอเมริกา อเมริกากลาง และทวีปยุโรป ฯลฯ ก็ต่างมีความศรัทธาในอำนาจลี้ลับที่เกี่ยวข้องกับแพทยศาสตร์ว่าหยกสามารถช่วยบำบัดรักษาโรคไตและโรคทางเดินปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังพบว่าบางคนสามารถคาดคะเนสภาพลมฟ้าอากาศจากการสังเกตสีของพระหยก ถ้าหากพระหยกปรากฏสีมัวหมองน่าสะพรึงกลัวเป็นลางบอกเหตุว่าพายุร้ายกำลังจะมาหรือแม้กระทั่งเรื่องสุขภาพ หลายๆ คนเชื่อว่าถ้าหยกที่สวมใส่อยู่มีสีสันสดใสแวววาวแสดงว่าผู้สวมใส่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ จิตใจแจ่มใส มีสง่าราศี และโชคลาภ แต่ถ้าพระหยกนั้นมีสีหม่นหมองไม่ส่องประกาย แสดงว่าสุขภาพจะอ่อนแอ จิตใจหมองมัว กำลังมีทุกข์หรืออับโชค เป็นต้น

สำหรับประเทศไทยเรา นอกเหนือจากพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ “พระแก้วมรกต” ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ พระคู่บ้านคู่เมืององค์สำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ยังมีพระหยกอีกมากมายประดิษฐานแทบทุกจังหวัด เพื่อให้สาธุชนได้กราบขอพรทั้งเรื่องโชคลาภและสุขภาพ

พระหยกองค์สำคัญอีกองค์ ที่นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งของโลก นั่นคือ พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย หรือ หลวงพ่อหยก วัดธรรมมงคล พระพุทธรูปหยกปางสมาธิที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดหน้าตักกว้าง 1.66 เมตร และสูง 2.2 เมตร